เนื้อสัมผัสชุ่มฉ่ำอย่างน่าทึ่ง

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่การจับนอร์วีเจียนซาบะฝูงใหญ่จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปี เพราะนอร์วีเจียนซาบะจะมีคุณภาพดีที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหลังจากใช้เวลาตลอดฤดูร้อนออกหาอาหารบริเวณชายฝั่งนอร์เวย์ นอร์วีเจียนซาบะจึงอ้วนสมบูรณ์ที่สุดในเวลานี้ และถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เพราะไขมันในตัวปลานั้นเป็นแหล่งของรสชาติและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่านอร์วีเจียนซาบะจัดอยู่ในกลุ่มแมคเคอเรลที่ดีที่สุดและมีไขมันสูงที่สุดในโลก โดยสถาบันวิจัยทางทะเลแห่งนอร์เวย์ได้ศึกษาระดับความผันแปรของไขมันในนอร์วีเจียนซาบะตลอดช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน ผลการศึกษาวิจัยพบว่าระดับไขมันในนอร์วีเจียนซาบะแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละช่วงของปี โดยในช่วงหลังฤดูหนาวปลาจะผอมบางมากที่สุด แต่ในช่วงฤดูร้อนนอร์วีเจียนซาบะจะกินอาหารอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่อง ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับนอร์วีเจียนซาบะที่จับได้ในเดือนเมษายนมีไขมันไม่ถึง 5% ในขณะที่ปลาที่จับได้ในเดือนตุลาคมจะมีไขมันสูงถึง 28% มากกว่าถึง 5 เท่า นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นอร์วีเจียนซาบะที่จับได้ในฤดูใบไม้ร่วง มีเปอร์เซ็นต์ไขมันสูงกว่าปลาซาบะจากที่อื่นทั่วโลกอย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นปลาซาบะชั้นเลิศอย่างแท้จริง

ปริมาณไขมันที่สูงทำให้นอร์วีเจียนซาบะเป็นอาหารที่พิเศษไม่เหมือนใคร เหตุผลที่ไขมันในปลามีความสำคัญเพราะไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อปลาอย่างละเอียดอ่อนนั้นช่วยให้มีเนื้อสัมผัสชุมฉ่ำ และรสชาติอร่อยกลมกล่อม นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย นอร์วีเจียนซาบะที่ถูกจับในฤดูใบไม้ร่วงเป็นแหล่งของวิตามินดี และวิตามินบี 12 ที่ดีเยี่ยม อีกทั้งยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อระบบภูมคุ้มกัน โดยกรดไขมันเหล่านี้ยังสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด รวมถึงส่งผลดีต่ออาการต่างๆ เช่น ข้ออักเสบ ไมเกรน และสะเก็ดเงิน เนื่องด้วยร่างกายไม่สามารถสร้างกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้เอง การได้รับจากอาหารจึงจำเป็นอย่างยิ่ง และแหล่งที่ที่สุดของโอเมก้า 3 คือปลาที่มีไขมันสูง นอร์วีเจียนซาบะจึงกลายเป็นปลาที่ทั้งอร่อยและปรุงง่าย มาพร้อมแหล่งโอเมก้า 3 มากกว่าปลาชนิดอื่น ๆ